บันทึกการเดินทาง...เที่ยวตุรกี...อิสตันบูล (Istanbul) มหานครสองทวีป |
|
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
เที่ยวตุรกี อิสตันบูล |
|
เสาโอเบลิสก์
(Obelisk) จากอียิปต์โบราณ นครอิสตันบูล |
|
|
|
อิสตันบูล (Istanbul)
อิสตันบูล เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเมื่องที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี
อิสตันบูล ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า
คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ที่เป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้ น จึงส่งผลให้อิสตันบลู
มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น ไปแซนเทียม คอนสแตนติโนเปิล
สแตมโบล เป็นต้น
อาณาเขต : ทิศเหนือจรดทะเลดำ (Black Sea ) ทิศตะวันออกติดกับโคจาเอลลี
(Kocaeli )และทะเลมาร์มารา (Marmara) ฝั่งตะวันตกติดกับ เทคีร์ดาค์
( Tekirdag ) และคีร์คลาเรลี (Kirklareli ) มีพื่นที่รวมเกาะมาร์มารา
(Marmara Island ซึ่งได้สมญานามว่าเป็นเกาะเจ้าชาย PrincessIsland
5,712 ตารางกิโลเมตร
อิสตันบลูเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีปคือทวีปเอเชีย
(ฝั่งอนาโตเลียน) และทวีปยุโรป (ฝั่ง Trace ของบอกฟอรัส) โดยทั้ง
2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา
และช่องแคบ ดาร์ดาแนลส์
ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบลูเก่า และอิสตันบลูใหม่ โดยมีโกลเดนฮอร์นคันอยู่
(Golden Hornเป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์ เมื่อยามอาทิตย์อุทัยและอัสดงแสงจะอาบลำน้ำเป็นประกายระยิบระยับราวทองคำ
) เมืองที่ถูกแบ่งแล้วคือสตัมบลู (Stambul )ทางด้านใต้ และทางกาลาตา
(Galata )กับเบโยหลุ (Beyoglu) ทางด้านเหนือ
ภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูหนาวจะไม่หนาวเย็นมาก
แต่มีฝน ฤดูร้อน อากาศจะร้อนและแห้ง อุณหภูมิของกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันมากนักเฉลี่ยแล้วหิมะตกประมาณ
7 วันต่อปี
อิสตันบลูมีแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดไหลผ่านอิสตันบลูคือ แม่น้ำริวา
(Riva) มีปลายทางที่ทะเลดำ และบังมีแม่น้ำอิสทินเย ( Istinye
Deresi ) และบูยุค (Buyuk Menderes หรือที่ร็จักในชื่อ Maeander)ไหลลงสู่ช่องแคบบอสฟอรัส
อิสตันบลูเป็นเมืองท่าพาณิชย์ที่สำคัญ มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ
8,803,468 ล้านคน |
เสาโอเบลิสก์
(Obelisk) จากอียิปต์โบราณ นครอิสตันบูล
|
|
|
|
|
ประวัติความเป็นมาเมืองอิสตันบลู
หากร้อยเรียงประวัติศาสตร์ของอีสตันบูล ต้องเริ่มตั้งแต่เมืองไบแซนเทียม
(Byzantium) ที่สร้างโดย ชาวกรีกเมื่อ 667 ปีก่อนคริสตกาล
โดยตั้งชื่อตามกษัตริย์ Byzas เมืองไบแซนเทียมถูกครอบครองและทำลายโดยจักรวรรดิโรมัน
เมื่อปี พ.ศ. 739 (ค.ศ. 196) จากนั้นโรมันได้สร้าง ไบแซนเทียมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในยุคของจักรพรรดิเซ็ปติมัส
เซเวอรัส
หลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช แห่งจักรวรรดิโรมันได้ย้ายมาสร้างกรุงโรมใหม่
(Nova Roma) ที่ไบแซนเทียม แต่คนส่วนมากมักนิยมเรียกว่าเมือง
"คอนสแตนติโนเปิล" มากกว่า ในภายหลังจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงคือคอนสแตนติโนเปิล
มักถูกเรียกว่า "จักรวรรดิไบแซนไทน์" คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคนั้น
หลังสงครามครูเสดครั้งที่ 4 คอนสแตนติโนเปิลถูกยึดและเผาทำลาย
ก่อนจะถูกยึดกลับคืนได้ในภายหลัง
หลังจากล่มสลายของกรุงโรมและจักรวรรดิโรมันตะวันตก คอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นเมืองหลวงเพียง
แห่งเดียวของจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกาย
กรีกออเธอร์ด็อกซ์ โดยมีสิ่ง
ก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเช่น โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย เป็นต้น
กระทั่งถึงจักรวรรดิออตโตมัน ในปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453)
สุลต่านเมห์เม็ดที่ 2 ได้บุกยึดกรุง
คอนสแตนติโนเปิล ตัวเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมแบบมุสลิม
ชื่อของเมืองเปลี่ยนเป็นอิสตันบูล ในสมัยของจักรวรรดิออตโตมัน
เมืองอิสตันบูลได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก
การก้าวสู่สาธารณรัฐตุรกี เมื่อสาธารณรัฐตุรกีถูกก่อตั้งขึ้นใน
พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) เมืองหลวงของประเทศย้ายจากอิสตันบูลไปที่เมืองอังการา
นับระยะเวลาที่อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงทั้งสิ้น 1,610 ปี
.ในสมัยกษัตริย์คอนสแตนติน มีการก่อกำแพงเมืองล้อมเขา 7 ลูก
เพราะพระองค์มีพระประสงค์จะสร้างเมืองบนภูเขา 7 ลูกให้เหมือนกรุงโรม
เขา 6 ใน 7 ลูก อยู่ริมฝั่งโกลเดนฮอร์น ได้แก่
เขาลูกที่ 1 เป็นที่ตั้งของพระราชวังทอปกาปิ (Topkapi Sarayi)
และวิหารเซนต์โซเฟีย (Hagia Sophia Church หรือ St.Sophia
Mosque)
เขาลูกที่ 2 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าเชมแบร์ลิทัส (Cemberlitas
Camii) และนูรูโอส์มาเนีย (Nuruosmaniye Camii)
เขาลูกที่ 3 เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอิสตันบูล (Istanbul
Universitesi หรือ Istanbul University) และสุเหร่าสุไลมานิเย
(Suleymaniye Camii)
เขาลูกที่ 4 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าฟาทิห์ (Fatih Camii)
เขาลูกที่ 5 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าเซลิม (Sultan Selim Camii)
เขาลูกที่ 6 เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เซนต์โครา (Kariye
Muzesi หรือ Chora Church Museum) และประตูเอดีร์เน (Edirnekapi)
เขาลูกที่ 7 เป็นที่ตั้งของสุเหร่าโคจามุสตาฟาพาซา (Koca
Mustafa Pasa) และบริเวณโดยรอบ |
รถรางไฟฟ้า
นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอิสตันบูล
จัตุรัสด่านอาห์เหม็ด
(Sultanahmed Complex) หรือ ฮิปโปโดรม (Hippodrome)
มีชื่อเรียกโบราณคือ ฮิปโปโดรม (Hippodrome) ตั้งอยู่หน้าสุเหร่าสีฟ้า
เดิมเป้นลานแข่งรถม้าและศูนย์กลางเมืองในยุคไบแชนไทน์ ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์เหลือ
3 ชิ้น คือ เสาสี่เหลี่ยมยอดแหลมแห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส (Theodosius
Obelisk) เสาบรอนซ์รูปงูเกี่ยวกระหวัด (Bronze Serpentine
Coluumn) และเสาคอนสแตนติน (Column of Constantine)
เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส
เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมยอดแหลมที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด
เดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่เฮลิโอโปลิสในอียิปต์ สร้างโดยฟาโรห์ธุตโมซิสที่
1 จักรพรรดิเธโอโดเซียสย้ายมาตั้งไว้ที่อิสตันบูล มีความสูง
20 เมตร ทำจากหินแกรนิต ยอดเสาแกะเป็นภาพฟาโรห์คุกเข่าถวายสักการะแด่สุริเทพ
และการรบชนะสงคราม
ฐานหินอ่อนของเสาโอเบลิสก์สร้างในอิสตันบูล มีสองด้านที่บอกเล่าเรื่องราวการขนย้ายเสาจากท่าน้ำ
และการนำมาตั้ง ซึ่งใช้เวลา 30 วัน ด้านตะวันออกของฐานเป็นภาพจักรพรรดิเธโอโดเชียสประทับนั่ง
พระราชทานรางวังแก่ผู้ชนะ ด้านขวาและซ้ายของพระองค์คือพระโอรสอาร์คาดิอุสและโฮโนริอุส
ด้านหลังเป็นทหารองครักษ์ ส่วนด้านล่างเป็นภาพนักระบำ นักดนตรี
และผู้ชม
เสารูปงู เดิมสูง 8 เมตร ชำรุดเสียหายคงเหลือในปัจจุบันแค่
5 เมตร เป็นเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบูล เดิมอยู่ที่วิหารอะพอลโล
เมืองเดลฟี ประเทศกรีซ สร้างโดย 31 หัวเมือง ในปีที่ 479 ก่อนคริสตกาล
เพื่อเป็นที่ระลึกในชัยชนะต่อเปอร์เซีย ซึ่งชื่อเมืองเหล่านี้จารึกอยู่บนตัวงูใกล้ฐาน
ตัวเสาเป็นงู 3 ตัวเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ ยอดที่หักเป็นส่วนของสามขาที่รองรับอ่างทองคำ
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี
เสาคอนสแตนติน ทำด้วยหินประเภทหินปูน
สร้างในปี ค.ศ 940 เดิมเป็นรูปเกษตรกรและชาวประมง เคลือบด้วยบรอนซ์
แต่ทหารครูเสดชุดที่ 4 หลอมเอาบรอนซ์ไป ปัจจุบันยังเห็นรูที่ตัวเสา
พระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahce
Palace)
พระราชวังโดลมาบาห์เช สร้างโดยสุลต่านอับดุลเมจิต
ในปี ค.ศ. 1843 - 1856 ยุคปลายอาณาจักรออตโตมัน เป็นพระราชวังสุดหรูหราอลังการ
ที่ทุ่มสร้างคิดเป็นเงินในปัจจุบันถึงประมาณพันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
พระราชวังโดลมา บาห์เชสะท้อนถึงความคลั่งไคล้ยุโรปของสุลต่านอับดุลเมจิต
ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ปากทางเข้าที่มีหอนาฬิกาสไตล์บารอกตั้งเด่นหรา
ครั้นเมื่อเดินเข้าไปก็จะเจอกับประตูพระราชวังชั้นนอกขนาดใหญ่
ประดับตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตรงดงาม โดยมีทหารยืนรักษาการณ์หน้าทางเข้าอย่างขรึมขลัง
สงบนิ่ง แต่กลับได้รับความสนใจไม่น้อยเลย นักท่องเที่ยวหลายๆ
คน นิยมมายืนถ่ายรูปคู่กับทหารรักษาการณ์หน้าประตูเป็นจำนวนมาก
ด้วยทำเลที่เหมาะสมบนฝั่งบอสฟอรัส เป็นที่มาของการสร้างสรรค์
พระราชวังโดลมาบาห์เชที่สวยวิจิตรในรูปแบบศิลปะนีโอคลาสสิกเมื่อศตวรรษที่
19 ความวิลิศมาหราของพระราชวังโดลมาบาเชเกิดจากแนวคิดของสุลต่านอับดุลเมจีดที่
ทรงเชื่อมั่นว่า มากดีกว่าน้อย จึงทรงมีดำริที่จะย้ายจากพระราชวังทอปคาปึ
เมื่อได้ที่ที่จะสร้างพระราชวังใหม่แล้ว จึงทรงให้สถาปนิก
นิโคโกส และ
การาเบด บัลยัน มาออกแบบเพื่อก่อสร้างพระราชวังแนว ออตโตมัน-ยูโรเปียน
ส่วนการตกแต่งภายในเป็น
หน้าที่ของมัณฑนากรที่ตกแต่งให้กับปารีสโอเปรา
การสร้างพระราชวังโดลมาบาห์เชเสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1856
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วพบว่าต้องสิ้นเปลืองทองไปหลายตัน
เป็นผลให้จักรวรรดิต้องล้มละลาย และหลังสร้างเสร็จไม่นาน องค์สุลต่านอับดุลเมจีดก็สิ้นพระชนม์
พระอนุชาอับดุลอาซีสทรงขึ้นครองราชย์ต่อ แต่ไม่โปรดที่นี่
จึงมีบัญชาให้สร้างพระราชวังที่ประทับขึ้นใหม่อีกฟากหนึ่ง
ชื่อว่าพระราชวังย์แลร์เบย์ โดยไม่สนพระทัยว่าเงินในท้องพระคลังไม่มีเหลืออีกแล้ว
การตกแต่งของพระราชวังแห่งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแปลกประหลาด
สะท้อนรสนิยมที่ไม่ค่อยบรรเจิด แม้จะมากไปด้วยของตกแต่งชิ้นเลิศ
แต่คงมากเกินไปจนดูสะเปะสะปะไร้จุดเด่นนั่นเอง
พระราชวังโดลมาบาห์เช เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.30-16.00
น. ยกเว้นวันจันทร์และพฤหัสบดี
อุโมงก์เก็บน้ำเยเรบาทัน (Yerebatan
Sarnici)
อยู่เยื้องกับวิหารเซนต์โซเฟีย สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนในปี
ค.ศ. 532 เพื่อเป็นที่เก็บน้ำสำหรับใช้ในพระราชวัง สำรองไว้ใช้ยามอิสตันบูลถูกข้าศึกปิดล้อมเมือง
กว้าง 65 เมตร ยาว 143 เมตร มีเสาค้ำหลังคา 336 ต้น แบ่งเป็น
12 แถว จุน้ำได้ทั้งหมด 80,000 ลูกบาศก์เมตร น้ำที่ได้ส่งผ่านท่อมาจากแหล่งน้ำที่อยู่ห่างออกไป
20 กิโลเมตร ใกล้กับทะเลดำ ที่มาของสถานที่แห่งนี้ชวนให้ขนลุกอยู่ไม่น้อย
เสาคอลัมน์ หัวเสา และฐานเสานำมาจากซากหักพังของอาคารหลายแห่ง
มีเสาทรงแปลกๆ อย่างเสาประดับรูปศีรษะเมดูซาที่กลับหัวลงและตะแคงข้าง
รวมทั้งเสาหยาดน้ำตา ในยุคออตโตมัน
ในปี ค.ศ. 1453 หลังกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกอาณาจักรออตโตมันตีแตก
อุโมงค์แห่งนี้จำต้องถูกทิ้งร้างไปโดยปริยายเป็นเวลายาวนานร้อยกว่าปี
จนในปี ค.ศ. 1545 ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Petrus Gyllius ได้เป็นผู้ค้นพบอุโมงค์นี้
ทางการตุรกีจึงใช้อุโมงค์นี้เป้นที่เก็บกักน้ำอีกครั้งสำหรับพระราชวังทอปกาปีที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก
ก่อนจะทำการปรับปรุง ล้างทำความสะอาดบูรณะครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1985
แล้วเปิดให้คนเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน ปี ค.ศ.1987
กลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งย่นจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต
พระราชวังเบย์แลร์เบยี (Beylerbeyi)
สร้างในปี ค.ศ. 1865 ช่วงปลายของออตโตมัน โดยสุลต่านอับดุลลาซิส(Abdullaziz)ประสงค์ให้เป็นพระราชวังฤดูร้อนและที่ประทับแรมขณะออกล่าสัตว์
จึงไม่มีระบบ ทำความร้อนตั้งอยู่ฝั่งเอเชีย ตัวพระราชวังเป็นหินอ่อนสีขาว
สร้างในแปปเดียวกับพระราชวังโดลมาบาห์เช ประกอบด้วยห้อง 254
ห้อง และห้องโถง 6 ห้องนอกจากนี้ วังยังมีสวนดอกไม้แมกโนเลียสวยงามมาก
เปิดบริการทุกวัน เวลา 09.30-16.00 น. ยกเว้นวันจันทร์และวันพฤหัสบดี
พระราชวังยึลดึช (Yildiz หรือ Yyldyz
หรือ Yildiz Palace )
ชื่อของพระราชวังแปลว่า ดวงดาว สร้างในครึ่งหลังของศตวรรษทื่
19 ในแบบของคฤหาสน์ออตโตมันดั้งเดิม มาแล้วเส็จสมบูรณ์ในสมัยสุลต่านอับดุฮามิทที่
2 ส่วนที่โดดเด่นที่สุดในพระราชวังแห่งนี้เรียกว่า Sale Koska
เป็นที่ประทับและทรงสำราญของสุลต่านตกแต่งอย่างหรูหราและงดงาม
อุทยานในพรราชวังเต็มไปด้วยแมกม้นานาพันธุ์และทะเลสาบ มองลงมาเป็นช่องแคบบอสฟอรัส
เวลาทำการ เปิดทุกวัน เวลา 09.30 16.00 น. ยกว้นวันจันทร์
และวันพฤหัสบดี อุทยานจะเปิด 09.00 17.30 น. และพิพิธภัณฑ์ยึลดึชชารายึ
เปิดทุกวัน เวลา 09.00 16.30 น. ยกเว้นวันจันทร์
พระราชวังฤดูร้อนไอนาลี (Aynali Kavak
)
คาวัก แปลว่า พระราชวังฤดูร้อน ตั้งอยู่ฝั่งโกลเดนฮอร์น
สร้างในศตวรรษที่ 17 เป็นหนึง่ในตัวอย่างสถาปัตยกรรมตุรกีดั้งเดิมที่งดงาม
ในอดีตพระราชวังแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก แต่ได้ทรุดโทรมคงเหลืออาคารที่เห็นในปัจจุบันเพียงอาคารเดียวไอนาลึยังได้ชื่อว่าเป็น
Mirrored Poplar หลังจากมีการติดตั้งกระจกที่เป็นของขวัญจากเวเนเชียนเมื่อปี
ค. ศ. 1718 พระราชวังอึฮ์ลามูร์ (Ihlamur Karsi หรือ Ihlamur
Pavillion )
สร้างขึ้นในศตวรษที่ 19 ชื่อของพระราชวังได้มาจากต้นลินเด็น
ไม้ในตระกูลมะนาวที่มีอยู่มากมายในอุทยาน เดิมพระราชวังแห่งนี้สร้างอยู่ชายเมือง
แต่ปัจจุบันบ้านเมืองเจริญขึ้น จนพระราชวังใจกลางเมืองมีพลับพลาเมราซิมใช้เป็นสถานที่รัฐทำพิธีต่างๆ
และมาอือเยท (Maiyet ) เป็นที่พักของเหล่าข้าราชบริพานในบางโอกาส
พระราชวังมัซลัก (Maslak Karsi หรือ
Maslak Pavillion )
สร้างในศตวรรษที่ 19 โดยสุลต่านอับดุล เอซิส เพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมขณะออกล่าสัตว์สถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน
ตั้งอยู่บนภูเขาแวดล้อมด้วยป่าไม้เขียวขจี ยังมีลือมอนลุก
(Limonluk Green House) เรือนกระจกที่น่าแวะเข้าไปชม
พลับพลาชายทะเลฟลอร์ยา อตาเติร์ก
(Florya Ataturk Sea Pavillion) เป็นที่พักฤดูร้อนของประธานาธิบดีตั้งแต่สมัยอตาเติร์ก
สร้างเมื่อปี ค.ศ 1935 ตัวอาคารทำเป็นรูปตัว T ยื่นออกไปในทะเลมาร์มาราปัจจุบันยังใช้เป็นที่แสดงงานศิลปกรรมชิ้นเอกจากต้นศตวรรษที่
20
สุเหร่าสุไลมานิเย (Suleymaniye Camii)
สร้างในศตวรราที่ 16 เป็นผลงานชิ้นเอกของยอดสถาปนิกซีนัน
ดูจากระยะไกลจะได้สยงามมากจัดว่าเป็นสุเหล่าที่สวยงามมาก และเป็นสุเหร่าหลวงที่งดงามที่สุด
เป็นที่ฝังศพของสุลต่าน สุไลมานและอัครมเหสี
สุเหร่ารุสเต็มพาชา (Rustem Pasa
Camii)เป็นสุเหร่าอีกแห่งหนึ่งที่สถาปนิกซีนันออกแบบ
สร้างในศตวรรษที่ 16 โดยชื่อ รุสเต็มพาชานี้มาจากผู้เป็นวิเชียร์และลูดเขยของสุลต่านสุไลมาน
สุเหร่าฟาทิห์(Fatih Camii)
สร้างในศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นที่บรรจุพระศพของสุลต่านเมห์เหม็ด
และตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์สุเหร่าที่เห็นอยู่ในร้านปัจจุบันเป็นสุเหร่าที่สุลต่านมุสตาฟาที่
3 ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1767 1771 เนื่องจากของเดิมถูกแผ่นดินไหวเสียหาย
สุเหร่าเยนี (Yeni Camii) สร้างในศตวรรษที่
16 เป็นสุเหร่า แห่งสุดท้ายของออตโตมัน
สุเหร่าเอยุพ (Eyup Camii)
เป็นสุเหล่าแห่งแรกที่สร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ถือว่าเป็นสุเหร่าที่ศักสิทธิ์ที่สุด
ในอดีตเป็นที่ที่สุลต่านออตโตมัน ทำพิธีราชาภิเษก ละยังเป้นที่บรรจุศพของเอยุพ
ผู้ถือสาส์นของศาสนามูฮัมหมัด ที่ถูกพวกอาหรับลอบสังหารในอิสตันบลูจึงมีผู้มาสักการะมากมาย
พิพิธภัณฑ์คาริเย (Kariye Muzesi
หรือ Chora Museum) สร้างหลังวิหารเซนต์โซเฟียในคริสต์ศตวรรษที่
11 ตรงกับยุคไบแซนไทน์ เดิมเป็นโบสถ์โครา เพดานและผนังเป็นภาพวาด
แบบเฟรสโก และภาพประดับโมเสกสีทองแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
เตอร์กิชและอิสลามิก (Turk Islam
Eserleri Muzesi) ตั้งอยู่ในบริเวณฮิปโปโดรม เดิมเป็นวังของอิบราราฮิม
พาชา แกรนด์วิเชียร์ผู้เป็นราชบุตรเขยของสุลต่านสุไลมานผู้ยิ่งใหญ่จัดแสดงวัตถุของชนพื้นเมิงที่หาชมได้ยากโดยเฉพาะพรมลาดผนังและปูผืนใหญ่
โบสถ์เซนต์ไอรีน (Hagin Irini) ตุรกีเรียกว่า
อีแรน เป็นโบสถ์แห่งแรกในอิสตันบลู สร้างในอิสตันบลูในสมัยกษัตริย์คอนสแตนติน
ไกล้กับโบสถ์นี้มีบ้านทรงน่ารักที่ดัดแปลงเป็นโรงแรมและสวนหย่อมสวยงามพอจะนั่งหย่อนใจนั่งดิ่มน้ำชาได้
พิพิธภัณฑ์กระเบื้องตุรกี (Cinili
Kosk หรือ Museum of Turkish Ceramics) ตัวอาคารก็สร้างอยู่ในกลุ่มสุลต่านเมห์เหม็ด
ปัจจุบันจัดแสดงกระเบื้องจากเมืองอิสนิกทั้งในสมัยเชลจุกและออตโตมัน
พิพิธภัณฑ์ทหาร (Askeri Muzesi หรือ
Military Museum) จัดแสดงด้านการทหารตั้งแต่สมัยออตโตมัน
และมีห้องแสดงสิ่งของส่วนตัวของอตาเติร์ก ช่วงเวลา 15.00
16.00 น. มีการบรรเลงดนตรีแบบทหารยุคออตโตมัน และมีการหันซ้ายหันขวา
ประกอบเพลงไปด้วย
พิพิธภัณฑ์มนุษย์ต่างดาว (Uluslararasi
UFO Muzesi) พิพิธภัณฑ์นี้จัดแสดงเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวในตุรกี
น้ำพุไกเซอร์ (Kaiser fountain) เป็นของขวัญที่จักรพรรดิวิลเลี่ยมที่
2 แห่งเยอมันพระราชทานแก่สุลต่านอับดุลฮามิทที่ 2 เมื่อคราวเสด็จเยือนตุรกีในปี
ค.ศ. 1895
น้ำพุอาห์เหม็ดที่ 3 (Ahmed III Fountain)
ตั้งอยู่ที่ทางเข้าของพระราชวังทอปคาปึ สร้างโดยสุลต่านอาห์เหม็ดที่
3 ในปี ค.ศ. 1729 ด้วยหินอ่อนที่สร้างเป้นโดม 5 หลัง เรียงต่อกันครอบน้ำพุที่อยู่ด้านล่าง
บนหลังคา มุงกระเบื้องที่สร้าเชื่อมออกมา มีกรวยยอดแหลมทำด้วยบรอนซ์
รูปทรงและเส้นสายของอาคารที่สร้างได้กลมกลืน ทำให้เป้นสถานที่น่าเที่ยวชมอีกทีหนึ่ง
หอคอยกาลาตา (Galata Tower)
กล่าวว่ากันว่าหอคอยแห่งนี้สร้างมาตั้งแค่ปี ค.ศ. 500 เพื่อใช้เป็นประภาคารถูกไฟไฟหม้หลายครั้ง
สุลต่านเซลิมที่ 2 ทรงได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1348 สมัยสุลต่านสุไลมาน
ได้ใช้หอคอยนี้เป็นที่คุมขังนักโมษด้วยความสูงถึง 62 เมตร
หอคอยนี้จึงเหมาะกับการที่ชมวิวรอบเมืองอย่างยิ่ง ปัจจุบันหอคอยนี้ทำเป็นภัตราคารและไนท์คลับยามราตรีที่มีการแสดงระบำหน้าท้อง
กำแพงเมือง สร้างโดยจักรพรรดิเธโอโดเซียสที่
2 ในปีค.ศ. 413 ต่อมาในปี ค.ศ. 447 เกิดแผ่นดินไหว กำแพงเสียหายเกือบหมดมีการเกณฑ์แรงงาน16,000
คนมาก่อส้างใหม่ ใช้เวลาเพียง 2 เดือนเศษ เป็นกำแพงสูง 12
เมตร หนา 5 เมตร ยาว 6.5 เมตร ตั้งแต่ทะเลมาร์มาราจนถึงโกลเดนฮอร์น
ตามแนวกำแพงมีหอสังเกตุการณ์และป้อมรบอยู่หลายแห่งจัดป็นมรดกโลกภายใต้การดูแลของยูเนสโก
โกลเดนฮอร์น (Golden Horn )
เป็นอ่าวรูปเขาสัตว์อยูในอิสตันบลูฝั่งยุโรป มีความสำคัญอย่างมากในยุคไบแซนไทน์และออตโตมัน
โพโลเนซเคย (Polonezkoy) เป็นหมู่บ้านในฝั่งเอเชียในศตวรรษที่
16 ชาวโปร์แลนด์มากมายอพยพเข้ามาอยู่ที่นี่ ปัจจุบันเป็นสถานที่เหมาะกับการปิกนิก
ชิเล (Sile) ตั้งอยู่ชายั่งทพเลดำ
มีชื่อเสียงด้านร้านอาหารประเภท ปลา โรงแรม และชายหาด
ยาโลวา (Yalova) เป็นแหล่งอาบน้ำร้อนเพื่อรักษาโรคไขข้อ
เกาะเจ้าชาย (Princes Island) เป็นชื่อเรียกหมู่เกาะจำนวน
9 เกาะ ในนี้มีอยู่ 4 เกาะที่มีคนอาศัยอยู่ ได้แก่ คึนาลึล์อาดา
(Klnallada ) , บูร์กาซาดา (Burgazada ), ไฮเบลิอาดา (Heybeliada
) , และ บูยุคาดา (Buyukada )เป็นที่ที่คนนิยมมาพักตากอากาศช่วงฤดูร้อน
เป็นแหล่งปลอดรถยนต์ยานพาหนะในเกาะนี้คือ ลาเทียมรถ
โรงอาบน้ำ โรงอาบน้ำเป็นสาธารณะที่มีมาแต่โบราณ
อาบอบนวดในตุรกีต้องนำผ้าเช็ดตัว ขันน้ำ และสบู่ไปเอง แต่ช้าใช้บริการตามโรงแรมใหญ่ๆก็ไม่ต้องเตรียมไปราคานั้นขึ้นอยู่กับที่ที่เราไปใช้บริการ
ภายในมีบริเวณการขัดขี้ไคร และกำจัดขน เป็นต้น
สวนสัตว์ ในอิสตันบลูมีสวนสัตว์ชื่อว่า
กุลฮาเน่ปาร์ก (Gulhane parki) แปลตรงตัวว่า สวนกุหลาบ แต่ความจริงเป็นสวนสัตว์
มีที่นั่งให้ดื่มชา และมักมีคนมาให้บริการวัดความดัน เพราะคนตุรกีมักเป้นโรคความดัน
ทั้งนี้คนที่ถูกวัด ต้องเสียตังค์ด้วย ในฤดูร้อนสวนนี้มีการจัดคอนเสิร์ตแบบลูกทุ่ง |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Sarayi หรือ Topkapi Palace)
พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Saraiy)
Saraiy) เป็นที่ประทับของสุลต่านนานกว่า 3 ศตวรรษ สร้างโดยสุลต่านเมห์เม็ตที่
2 หรือ สุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิต'(MEHMET THE CONQUEROR) แห่งอาณาจักรออตโตมัน
เมื่อปี ค.ศ. 1478 พระองค์ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังทอกาปิขึ้นบนจุดที่สามารถเห็นช่องแคบบอสฟอรัส
โกลเด้นฮอร์น และทะเลมาณืมาราได้อย่างชัดเจน ในสมัยสุลต่านสุไลมาน
ได้มีการต่อเติมพระราชวังแห่งนี้โดย ซีนาน (Sinan) สถาปนิกนามอุโฆษแห่งตุรกี
อันเป็นที่มาของงานสถาปัตยกรรมแบบ ออตโตมันคลาสสิก จำนวนมาก
พระราชวังทอปกาปิ ในอดีตเป็นที่ประทับของสุลต่านแห่งราชวงศ์ออตโตมันหลายพระองค์
เมื่อจักรพรรดิมาห์มุที่ 2 (ค.ศ.1808-1839) สิ้นพระชนม์ลง
นับเป็นสุลต่านองค์สุดท้ายที่ทรงประทับอยู่ที่นี่ เพราะหลังจากนั้นสุลต่านทุกองค์ก็นิยมที่จะประทับอยู่ที่พระราชวังสไตล์
ยุโรปที่โดลมาบาชเช่ด้วยกันทั้งสิ้น
ในอดีตพระราชวังทอปกาปีเคยเป็นสถานที่ฝึกขุนนางทหารรับใช้ของสุลต่านชาวตุรกี
ซึ่งคัดเลือกเด็ก ๆ คริสเตียน(พวกนอกศาสนา)มาสอนให้เป็นเติร์กและนับถือศาสนาอิสลาม
ต่อมาเมื่อขุนทหารเหล่านี้ออกมารับราชการเป็นใหญ่เป็นโตในวังก็กลายเป็นหอก
ข้างแคร่ และในบางยุคก็ร่วมก่อการปฏิวัติรัฐประหารเลยด้วยซ้ำ
ในที่สุดสุลต่าน 'มาห์มุทที่ 3' ก็ตัดสินใจยุบระบบขุนนางทหารรับใช้ซึ่งยืนยงมากว่า
350 ปีนี้ลง และปฏิรูประบบการจัดการทหารในประเทศเสียใหม่ โดยการนำการจัดทัพแบบยุโรปมาใช้
ปัจจุบันพระราชวังทอปกาปี กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเมื่อปี
ค.ศ. 1924 แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก, พระราชวังชั้นใน
และฮาเร็ม ในอดีตภายในพระราชวังนี้จะมีข้าราชบริพารทำงานกันอยู่ประมาณ
5 พันคน จึงมีสภาพคล้ายตัวเมืองที่ซับซ้อนอยู่ในตัวเมืองอีกชั้นหนึ่ง
ตัวพระราชวังนั้นได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรในยุคที่จักรวรรดิออตโตมาน
รุ่งเรืองถึงขีดสุด
โดยพื้นที่จัดแสดงออกเป็นหลายส่วนด้วยกัน อาทิ ส่วนโรงครัว
มีเครื่องครัวโบราณมากมาย ทั้งที่เป้นเครื่องปั้นดินเผา เครื่องกระเบื้อง
เครื่องโลหะ ฯลฯ รวมไปถึงภาพวาดเกี่ยวกับการทำอาหารสมัยโบราณ
ห้องท้องพระคลัง ซึ่งเป็นห้องที่โด่งดังและเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอย่างมากก็คือ
ห้องท้องพระคลังอันเป็นที่เก็บสมบัติและวัตถุล้ำค่ามากมาย
ในขณะที่บริเวณระเบียงหลังห้องท้องพระคลังเป็นจุดชมวิวชั้นดี
ที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์เมืองอิสตันบูลใน 2 ฝั่งทวีป คือฝั่งยุโรปและฝั่งเอเชีย
ได้อย่างชัดเจน ซึ่งแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 ห้องคือ
ห้องแรก เก็บพวกเสื้อผ้าชุดโบราณของกษัตริย์อันสวยงาม เก็บอาวุธโบราณต่างๆ
ที่ไม่ใช่อาวุธแบบยุคหิน แต่เป็นอาวุธแบบอาหรับที่มากไปด้วยความสวยงามและมีสีสันยิ่งนัก
ห้องที่สอง เก็บพวกเครื่องประดับ สร้อย กำไล ต่างหู และเพชรนิลจินดามากมาย
และที่สำคัญที่สุดคือ กริชแห่งทอปกาปิ (Topkapi Dagger)
โบราณวัตถุชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งแห่งตุรกี ด้ามกริชประดับด้วยมรกตน้ำงาม
ฝักทำด้วยทองคำประดับเพชร ตรงกลางฝังอัญมณีและไข่มุกทำเป็นรูปกระเช้าดอกไม้
กริชแห่งทอปกาปิ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นของกำนัลแก่อาณาจักรออตโตมัน
โดยต้องการจะมอบให้กับนาดีร์ชาร์ แห่งเปอร์เซีย แต่ว่านาดี
ซาร์ ถูกโค่นอำนาจลงเสียก่อนที่จะได้ครอบครองกริชเล่มนี้ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นพระเอกของพระราชวังแห่งนี้ทีเดียว
ห้องที่สาม จัดแสดงเครื่องประดับ เพชรพลอยมากมาย ที่น่าสนใจสำหรับคนไทย
คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพอัญเชิญมาถวายแก่สุลต่านอับดุลฮามิดที่
2 ในการเสด็จฯ เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-ตุรกี เมื่อปี
ค.ศ. 1891
สิ่งที่น่าสนใจในห้องจัดแสดงที่ 3 คือ เพชรของช่างทำช้อน
(The Spoon Makers Diamond) ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งพระราชวังทอปกาปิ
เพชรของช่างทำช้อนมีขนาด 86 กะรัต เจียระไนเป็นรูปกุหลาบ 49
เหลี่ยม มีตำนานเกี่ยวกับ เพชรของช่างทำช้อนว่า เพชรเม็ดนี้
นายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ปิโกต์ (Pigot) ซื้อมาจากเจ้าเมืองรัฐปัญจาบในอินเดีย
เมื่อปี ค.ศ. 1774 แล้วนำกลับสู่ฝรั่งเศส ก่อนจะเปลี่ยนมือผู้ครอบครองไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดมาตกอยู่ในการครอบครองของพระมารดาพระเจ้านโปเลียน
โบนาปาร์ต กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส พระนางได้ขายเพชรให้แก่นายพลเทเปเดเลนลิ
อาลี (Tepedelenli Ali Pasha) แห่งอาณาจักรออตโตมัน แต่หลังจากนั้น
นายพลท่านนี้กลับต้องโทษประหารในปี ค.ศ. 1840 โคตรเพชรเม็ดนี้จึงถูกริบให้เป็นสมบัติของราชสำนักออตโตมันไปโดยปริยาย
ฮาเร็ม : สวรรค์ของสุลต่าน
ฮาเร็ม มาจากคำภาษาอารบิกว่า ฮาริม (Harem) มีความหมายว่า
ถูกห้ามโดยศาสนา ซึ่งเป็นคำที่บรรยายถึงสถานที่ซึ่งสุลต่านและครอบครัวของพระองค์ประทับอยู่
ฮาเร็มเป็นเขตต้องห้ามที่ซึ่งพระมารดา เหล่าชายา นางระบำ และโอรสธิดาของสุลต่าน
ใช้ชีวิตอยู่โดยตัดขาดจาดโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ฮาเร็มแห่งทอปกาปิ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1550 สมัยสุลต่านสุไลมาน
เพื่อเป็นที่พำนักของรอกเซลานา (Roxelana) ทาสสาวคนสวยคนเก่งชาวรัสเซียอันเป็นที่โปรดปรานของสุลต่านสุไลมาน
ซึ่งรอกเซลานาได้ใช้ฮาเร็มเป็นฐานที่มั่นในการยึดครองราชบัลลังก์
จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคนโปรดของสุลต่านสุไลมานในเวลาต่อมา
จากนั้นนางได้แผ่อิทธิพลจนกลายเป็นผู้ตัดสินพระทัยสำคัญแทนสุลต่านสุไลมานหลายต่อหลายเรื่อง
หลังสุลต่านสุไลมานสิ้นพระชนม์ พระโอรสของนางรอกเซลานาขึ้นครองราชย์
บทบาทของนางยิ่งโดดเด่นและทรงอิทธิพลมากขึ้นในฐานะพระราชชนนีที่กุมอำนาจทั้งหมดในราชสำนัก
อันเป็นต้นแบบของพระราชชนนีในยุคต่อๆมา
ภายในฮาเร็มมีห้องทั้งหมดกว่า 300 ห้อง ถ้าพูดถึงภาพรวมแล้ว
ภายในอาณาเขตพระราชวังมีลักษณะเป็นเมืองซ้อนอยู่ในตัวเมือง
แน่นขนัดไปด้วยอาคารที่พักของช่างฝีมือหลวง คนสวน และทหารยามซึ่งจะสวมเครื่องแบบต่างสีกันไปเพื่อให้แยกแยะได้ง่าย
เพราะมีคนอาศัยอยู่กว่า 5,000 คน
นอกจากมัสยิดและโรงอาบน้ำ ยังมีสวนสัตว์ที่มีทั้งสิงโต ช้าง
หมี และของขวัญจากประมุขต่างแดน เนื้อที่ปัจจุบันซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวางจนอาจต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มจึงจะ
ชมได้ทั่ว ยังถือว่าลดน้อยลงจากสมัยก่อนมาก อาณาเขตเดิมนั้นแผ่ขยายไปถึงทะเลมาร์มารา
สถานีรถไฟซีร์เคจี และสวนกุลฮาเน หมู่อาคารเดิมในสมัยสุลต่านอาห์เมตได้แก่
Raht Hazinesi หรืออาคารพระคลังมหาสมบัติ กำแพงชั้นนอก - ชั้นใน
และ ซีนีลีเคิชค์ หรือพระตำหนักกระเบื้อง ซึ่งปัจจุบันจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์พอร์ซเลนแห่งตุรกี
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชนและสัมผัสฮาเร็มได้อย่างใกล้ชิด
มีห้องพักของพวกยูนุค โรงเรียนของมกุฎราชกุมาร ห้องบรรดาชายา
แท่นบรรทมซึ่งฉลุลวดลายผ้าของพระมารดาของสุลต่าน ห้องอาหาร
ห้องอาบน้ำหินอ่อนและห้องบรรทมของสุลต่า ห้องบัลลังก์อันโอ่อ่าของสุลต่านมูรัทที่
3 ห้องสมุดของสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 ห้องเสวยของสุลต่านอาห์เหม็ดที่
3 ห้องที่พี่น้องของสุลต่านพักอาศัย และห้องต่างๆ อีกมากมาย
ในส่วนของฮาเร็มของพระราชวังโดลมาบาห์เช เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2514 มีมัคคุเทศก์ของพระราชวังนำชมทุก 30 นาที และมีให้บริการหลายภาษา
นักท่องเที่ยวต้องสวมถุงพลาสติกคลุมรองเท้าป้องกันไม่ให้พื้นและพรมเสียหาย
เกร็ดความรู้ฮาเร็ม
ในฮาเร็มจะมีผู้อยู่อาศัย 5 ประเภท ด้วยกันคือ พระราชชนนี
พระชายา เจ้าจอม นางกำนัล และ ขันที มีพระราชชนนีเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด
มีขันทีซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาสผิวดำชาวแอฟริกัน (ซึ่งถูกตอนแล้ว)
หากพระชายาหรือเจ้าจอมเกิดมีพระราชธิดาก็จะอยู่กับพระราชมารดาจนแต่งงาน
หากมีพระราชโอรสจะอยู่ในฮาเร็มจนถึงอายุ 13 ปี จากนั้นจึงให้ออกไปอยู่วังของตนข้างนอก
บุรุษที่เข้าออกได้มีเพียงเจ้าชายและทาศยูนุคผิวดำเท่านั้น
ฮาเร็มไม่ใช่อาณาจักรแห่งกามโลกีย์อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นฝ่ายในที่มีการปกครองตามลำดับชั้น
พระราชมารดาของสุลต่านเป็นราชินี ผู้ทรงสิทธิ์ขาดของอาณาจักรฝ่ายใน
รองลงมาคือพระชายาตามกฎหมาย
ในขณะที่สุลต่านบางองค์มีสตรีได้เพียง 4 คน ตามที่ศาสนาอิสลามอนุญาต
แต่สุลต่านบางองค์มีสตรี นับร้อยๆ คนในฮาเร็ม ดังเช่น สุลต่านมูรัทที่
3 (Murat 3) มีสตรีเกือบ 1,200 คนในฮาเร็ม
สตรีซึ่งมีความงามเป็นเลิศเหล่านี้ ถูกนำตัวมากจากส่วนต่างๆ
ของโลก ไปยังกรุงอิสตันบูล และจะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับสุลต่าน
ให้กำเนิดโอรสธิดาแก่องค์สุลต่าน สตรีที่มีลูกกับสุลต่านนั้น
จะถูกนำไปอยู่ห้องพิเศษภายในฮาเร็ม ซึ่งอยู่ในพระราชวังอันโอ่อ่างดงาม
แต่แท้จริงแล้ว พวกเธอมีชีวิตอยู่ในบรรยากาศซึ่งมีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน
เนื่องจากตำแหน่งสุลต่า (Sultanate) สืบทอดจากบิดาไปสู่ บุตรชายคนโตของราชวงศ์
ฉะนั้น เป้าหมายของพวกเธอทุกคนคือ การให้กำเนิดลูกชายคนแรกแก่สุลต่าน
แล้วตนเองจะมีฐานะเป็นฮาเซคีสุลต่าน (Haseki Sultan) ซึ่งเป็นหนทางเดียวในการประกันอนาคตของพวกเธอ
ฮาเร็มถึงยุคเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสมัยของสุลต่านอาห์เมตที่
1 (ahmet ครองราชย์ ค.ศ. 1603-1607) เนือ่งจากพระองค์ได้เลือกใช้ฮาเร็มเป็นที่กักบริเวณพระอนุชาสุลต่าน
แทนการสำเร็จโทษที่เป็นประเพณีปฏิบัติ มาตั้งแต่สมัยของสุลต่านเบยาชิตที่
1(Beyazit- ครองราชย์ ค.ศ. 1389-1402) ซึ่งหากผู้ใดขึ้นครองราชย์เป็นสุลต่านก็จะต้องสำเร็จโทษ
(สังหาร) พระอนุชาของตนเสียเพื่อป้องกันการแย่งชิงราชบัลลังก์
ก่อนจะมาเปลี่ยนมาเป็นการกักบริเวณในฮาเร็มแทนตั้งแต่ยุคของสุลต่านอาห์เมตเป็นต้นมา
นอกจากจะถูกกักบริเวณแล้ว ผู้ถูกกังขังตัวยังต้องทำหมันอีกด้วย
เพื่อป้องกันการมีลูกในฮาเร็ม หากสนมคนใดเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา
นางสนมคนนั้นจะถูกจับถ่วงน้ำทันที ซึ่งแม้การกักบริเวณจะดูไม่โหดเท่ากับการสำเร็จโทษ
แต่กลับส่งผลเสียต่ออาณาจักรออตโตมันในระยะยาว จนเป็นสาเหตุให้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่สุดแหงโลกมุสลิมล่มสลายในที่สุด
เนื่องจากว่าพระอนุชาส่วนใหญ่จะถูกกักบริเวณยาวนานจนสติฟั่นเฟือน
ครั้นต้องขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาที่สิ้นพระชนม์ไป จึงไม่มีความสามารถในการบริหารและปกครองประเทศชาติให้ร่มเย็นได้
พิพิธภัณฑ์พระราชวังทอปกาปิ เปิดทำการทุกวัน
เวลา 09.00-19.00 น. ยกเว้นวังอังคาร ติดต่อสอบถามได้ที่ Topkapi
Palace Museum 34400 Sarayii, Sultannahmet, Istanbul Tel
(212)- 512-0480, 512-0484 |
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี
พระราชวังทอปกาปี นครอิสตันบูล |
|
|
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
เที่ยวตุรกี พระราชวังทอปกาปึ |
|