พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา บริเวณรอบเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่มีบ่อน้ำรอบคูเมือง บันไดทางเดินขึ้นเขาบางส่วนเป็นหิน บางส่วนเป็นปูน บางส่วนเป็นเหล็กแน่นหนาทำเป็นบันไดวน ระหว่างทางมีบันไดทางแยกขึ้นลง มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภาพเขียนสีเฟรสโก บริเวณหน้าผาศิลปะลังกาสมัยอนุราธปุระคล้ายกับถ้ำอชันตาในประเทศอินเดีย วาดขึ้นในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 11 ในรัชสมัยของพระเจ้ากัสสปะที่ 1 เป็นภาพวาดของสตรีครึ่งตัวบ้างว่าเป็นนางฟ้าจำนวน 10 กว่าภาพสีออกโทนเหลืองส้ม ลายเส้นงดงามชัดเจนเสียดายบางส่วนกะเทาะออก สามารถถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลช ที่ห้ามใช้แฟลชเพื่อมิให้สีซีดเร็วขึ้น เดินขึ้นเขาต่อตามทางพื้นหิน ลานกว้างที่มีชื่อว่า ลานสิงห์ (Lions Terrace) กับเท้าสิงห์คู่มหึมาประตูสู่ พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา (Sikiriya) พระราชวังลอยฟ้าแห่งนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงพระราชทานนามว่า สีหคีรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ในสมัยนั้น (พ.ศ.293-333) ยังเป็นป่าอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ต้นราชวงศ์โมริยะ พระเจ้าธาตุเสนถูกพระโอรสคือพระเจ้ากัสสปะที่ 1 กระทำปิตุฆาตเพื่อแย่งบัลลังก์ (พ.ศ. 1020-1038) ด้วยเกรงว่าพระอนุชาต่างมารดาคือเจ้าชายโมคคัลลานะ จะได้สืบราชสมบัติแทน จากนั้นจึงทรงย้ายเมืองหลวงจากอนุราธปุระมาอยู่ยอดเขาสิคิริยะแห่งนี้เพื่อป้องกันพระอนุชามาชิงเมืองคืน พระราชวังลอยฟ้าแห่งนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี ทรงเสวยสุขอยู่ต่ออีก 11 ปี ก็ถึงกาลล่มสลาย เมื่อพระอนุชาซึ่งทรงระแวงอยู่ตลอดเวลา หลังจากไปตั้งหลักถึงอินเดียรวบรวมกำลังพล เข้าปิดล้อมป้อมปราการตัดกำลังเสบียงซึ่งมาจากเบื้องล่าง สุดท้ายทรงทำอัตตวิบากกรรมชดใช้กรรมที่กระทำต่อพระราชบิดา ด้านบนพระราชวังถูกสร้างเป็นปราการลดหลั่นกันไป เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ มีบ่อน้ำ สระน้ำซึ่งเป็นสระสรงสนานทรงใช้เสพย์สุขกันเต็มที่จนฝรั่งตั้งฉายาที่นี่ว่า ฮาเร็มลอยฟ้า พื้นที่สี่เหลี่ยมด้านบนสุดซึ่งเดิมคือพระราชวัง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ หลงเหลือแต่ซากอิฐ สามารถเห็นเมืองเบื้องล่างโดยรอบ
Hotline 0-936468915, 0-823656241 ใบอนุญาตเลขที่ 11/05028