เมืองพาราณสี เมืองพาราณสี หรือ วาราณสี (Varanasi) เป็นชื่อของเมืองหลวงแคว้นกาสี ประเทศอินเดีย มีแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่าน มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นเมืองที่ถือว่าเป็นสุทธาวาสที่สถิตแห่งศิวเทพ ถือว่าเป็นเมืองอมตะของอินเดียและเป็นที่แสวงบุญทั้งของชาวฮินดูและชาวพุทธทั่วโลก พาราณสียังเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในหลายด้าน คือเป็นที่เกิดของพระโพธิสัตว์หลายครั้ง พื้นที่เมืองพาราณสี มีอาณาเขตครอบคลุมถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ อันเป็นสังเวชนียสถานแห่งหนึ่ง แม่น้ำคงคา แม่น้ำคงคา เป็นแม่น้ำสายสำคัญของอินเดีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู มีต้นกำเนิดทางภาคเหนือของอินเดีย บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียไปทางตะวันออก และรวมกับแม่น้ำพรหมบุตรที่ประเทศบังกลาเทศ ก่อนจะไหลออกที่อ่าวเบงกอล แม่น้ำคงคามีความยาวประมาณ 2,510 กิโลเมตร ความเชื่อเรื่องการล้างบาปในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกพราหมณ์นิยมเชื่อถือเรื่องการอาบน้ำล้างบาป โดยเชื่อว่าแม่น้ำคงคาโดยเฉพาะที่ท่าเมืองพาราณสีนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถล้างบาปได้ พวกพราหมณ์ จึงพากันลงอาบน้ำล้างบาปอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น ถือว่าบาปที่ทำตอนกลางวันล้างด้วยการลงอาบน้ำในตอนเย็น ส่วนบาปที่ทำตอนกลางคืนก็ล้างได้ด้วยการลงอาบน้ำในตอนเช้า ที่เชื่อกันว่ากระแสน้ำในแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะเชื่อว่าได้ไหลผ่านเศียรของพระศิวะลงมาท่าน้ำแห่งแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี จึงเป็นบุณยสถานของชาวอินเดียทั้งปวงในสมัยนั้น ปัจจุบันนี้ก็ยังเชื่อถือกันอยู่และยังเชื่อต่อไปอีกว่า ใครก็ตามที่ตายและได้เผาที่ท่าน้ำเมืองพาราณสีแล้วกวาดกระดูกลงแม่น้ำคงคาก็เป็นอันเชื่อได้ว่าต้องไปสวรรค์แน่นอน พวกเศรษฐีนิยมมาปลูกบ้านทิ้งไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เมื่อป่วยหนักคิดว่าจะไม่รอดแล้วพวกญาติก็จะนำมาที่บ้านริมแม่น้ำ พอตายก็จะได้สะดวกในการเผาที่ริมแม่น้ำและกวาดกระดูกลงแม่น้ำไป เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์เคยทรงสนทนากับพวกพราหมณ์ผู้ไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคาเพื่อล้างบาปเป็นใจความว่า ถ้าต้องการล้างบาปไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ขอให้ชำระกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ คือ เว้นทุจริตทางกาย วาจา ใจ และประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ นั่นแหละคือการอาบน้ำล้างบาปมีในศาสนาของพระองค์ ถ้าประพฤติอยู่ในสุจริตแล้ว แม้น้ำดื่ม น้ำอาบ ธรรมดาก็จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย อนึ่ง ถ้าน้ำในแม่น้ำคงคาสามารถล้างบาปได้จริงและอำนวยผลให้ผู้ลงไปอาบไปสวรรค์ได้จริงแล้ว พวก กุ้ง หอย ปู ปลา ก็มีโอกาสไปสวรรค์ได้มากกว่ามนุษย์เพราะอาศัยอยู่ในแม่น้ำนั้นตลอดเวลา
เมืองพาราณสี เมืองสี่พันปีที่ไม่เคยหลับ เมืองพาราณสี เป็นเมืองที่มีแม่น้ำคงคาจากสรวงสวรรค์ไหลผ่าน เมืองพาราณสีจึงถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด มีผู้คนนับล้านจากทั่วถิ่นอินเดียเดินทางมาประกอบพิธีกรรม ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี เมืองนี้ยังคงเป็นเมืองที่มีเสนห์เฉพาะตนและเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุด ชาวฮินดูที่เลื่อมใสและถือปฎิบัติโดยเคร่งครัดที่จะพากันอาบน้ำชำระร่างกายในแม่น้ำคงคา โดยมีเชื่อกันอย่างจริงจังตลอดมานับพันๆปีว่า หากไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา บาปนั้นจะหมดสิ้นไป และในวันหนึ่งๆจะมีผู้คนพากันไปอาบน้ำล้างบาปกันเต็มท่าน้ำไปหมด โดยเฉพาะท่าอัศวเมธ เมืองพาราณสี เมืองพาราณสี ยิ่งวันเพ็ญเดือนสิบสองด้วยแล้ว ชาวฮินดูนับแสนคนจากทั่วทุกสารทิศ จะพากันมุ่งหน้าสู่นครพาราณสี เพียงเพื่อจะล้างบาปที่แม่น้ำคงคา สำหรับคนไทยแล้วเมืองพาราณสี คือสถานที่มาแสวงบุญ ส่วนคนอินเดียเมืองพาราณสี คือสถานที่มาล้างบาปและสถานที่เดินทางมาตายที่นี่ ว่ากันว่าชาวฮินดูทุกคนล้วนปราถนาที่จะมาตายและได้เผาศพที่นี่ บางคนรู้ตัวว่าใกล้ตาย ก็จะให้ลูกหลานพามานอนรอความตายที่นี่เลย เพื่อจะได้ไปสู่ภพชาติที่ดีกว่าและบาปจะได้รับการชำระเสียแต่ชาตินี้ บางคนก็สั่งเสียลูกหลานไว้ ให้มาเผาหรือลอยน้ำที่นี่ ศาสนาพราหมณ์ให้ความสำคัญของแม่น้ำคงคามาก่อนพุทธกาล ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เพราะเชื่อกันว่าแม่น้ำคงคาไหลมาจากสวรรค์ทางช้างเผือกดินแดนสุขาวดี กล่าวกันว่า แม่คงคาเป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระศิวะหรือพระอิศวร เทพประธานบนยอดเขาไกรลาส เขาพระสุเมรุ แม่คงคาไหลผ่านเมืองใด พราหมณ์ผู้นำความเชื่อทางศาสนาฮินดูก็ให้ความสำคัญเมืองนั้น จนมีคำกว่าว่า ไฟเผาศพไม่เคยดับมาแต่อดีตกาล อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 4,000 ปี น้ำในแม่น้ำคงคา มองดูแล้วสีขุ่น แถมยังมีเศษขยะ ซากศพและสิ่งปฎิกูล แต่ไม่น่าเชื่อว่ามีหลายต่อหลายองค์กรนำน้ำในแม่น้ำคงคาคงคา ไปตรวจพิสูจน์แล้วพบว่าไม่มีสิ่งสกปรก เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ การล่องแม่น้ำคงคาอยู่ที่ ท่ามณิกรรนิการ์ หรือท่าตุ้มหูพระศิวะ ที่ได้ชื่อว่า ท่าตุ้มหูพระศิวะ เพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่า ท่านี้เป็นท่าน้ำที่พระศิวะมาอาบน้ำ เมื่อทรงอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมาจากแม่น้ำ ปรากฎว่าตุ้มหูของพระองค์หล่นหายหาเท่าไรก็ไม่เจอ บริเวณท่าแห่งนี้ มีการเผ่าศพทุกวันวันละเป็นสิบๆ ศพ รอบๆ สถานที่แห่งนี้จะมี "โรงแรมแห่งความตาย" เป็นโรงแรมห้องเล็ก ๆ ไว้สำหรับคนที่รอความตายมาพัก และยังมีที่หลบแดดหลบฝนของญาติ ๆ ที่นำศพมาทำพิธี ชาวฮินดูเชื่อว่าความตายเป็นการทิ้งสังขารเก่าที่ผุพัง ไปเกิดใหม่ตามแต่บุญกรรมของดวงวิญญาณนั้น คล้ายกับพุทธเราเลยนะคะ ความตายจึงเป็นเรื่องธรรมดา ๆ พิธีเผาศพชาวฮินดู การเผาศพของชาวฮินดูนั้น จะทำกันง่ายๆ เมื่อมีคนตายก็จะใช้ผ้าห่อศพแล้วแบกไปยังริมฝั่งแม่น้ำคงคา ผู้ชายจะห่อด้วยผ้าขาว ส่วนผู้หญิงจะห่อผ้าหลากสี โดยไม่ต้องใส่โลงศพให้ยุ่งยากอะไรเลย มีเพียงแค่แคร่ไม้ใผ่หามเท่านั้น พอหามศพไปถึงแม่น้ำคงคา ก็จะซื้อฟืนกันตรงนั้นมากองไว้ ก่อนเผาก็เอาศพที่ห่อผ้าจุ่มลงไปในแม่น้ำคงคาแล้วยกขึ้น ทำเช่นนี้ 3 ครั้งบ้าง 5 ครั้งบ้าง เป็นเหตุผลเดียวคือการชำระล้างบาป ตามความเชื่อตั้งแต่สมัยมีชีวิตอยู่ แต่เป็นการล้างบาปครั้งสุดท้าย เพื่อให้ดวงวิญญานได้ไปสู่ดินแดนที่สุขสงบ จากนั้นก็นำศพขึ้นมาวางบนกองฟืน ญาติซึ่งมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะมาร่วมพิธีเผาศพที่แม่น้ำคงคา ส่วนผู้หญิงตามประเพณีของชาวฮินดูจะส่งศพที่หน้าบ้านเท่านั้น ญาติ ๆ ก็จะเดินวนรอบๆแล้วจึงจุดไฟเผาศพ เมื่อมอดไหม้ เหลือแต่กระดูกหรือเถ้าถ่าน แล้วก็กวาดลงแม่น้ำคงคาไปเลยไม่มีการเก็บกระดูกอย่างพวกเราชาวพุทธ หากเป็นเศรษฐีมีเงินซื้อฟืนเผาได้จนศพหมดมอดไหม้หมด คนรวยจะนิยมใช้ไม้ราคาแพงเป็นฟืนในการเผาศพ เช่นไม้จันทร์ ซึ่งมีการซื้อขายเป็นกิโล หากเป็นคนจนมีเงินซื้อฟืนเผาศพเพียงเล็กน้อย คนจนจะซื้อไม้ราคาถูกเช่น ไม้สะเดา ไม้มะม่วง เป็นต้น ศพยังไม่ทันมอดไหม้ ก็จะเขี่ยศพทิ้งแม่น้ำคงคา บทสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี จะเป็นราชา มหาราชา หรือยาจกก็ตาม เมื่อตายไปแล้วก็มีสภาพเหมือนกันหมด
พิธีบูชาไฟ หรือ พิธีอารตี พิธีบูชาไฟ มีมาก่อนสมัยพุทธกาล กล่าวว่าหลังจากเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้เดินทางมาโปรดปัญจวัคคีทั้งห้าที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จากนั้นก็เดินทางไปเมืองราชคฤห์เพื่อจะโปรดพระเจ้าพิมพิสาร แต่การที่จะไปแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อให้กษัตริย์และขุนนางมาเลื่มใสนั้นมันเป็นการยาก อีกอย่างเมืองราชคฤห์นั้นมีคณาจารย์เก่งๆอยู่หลายคน พระพุทธเจ้า จึงเลือกเสด็จตรงไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ อาจารย์ใหญ่ของชฎิล 500 คน กรุงราชคฤห์ ในสมัยนั้นเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ มีพระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครอง เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คนที่เจริญวิทยาความรู้ ตลอดการค้าขาย เป็นที่รวมอยู่แห่งบรรดาคณาจารย์ เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ ๆ นั้น ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นนักบวชกลุ่มชฎิล คือนักบวชกลุ่มบูชาไฟ ท่านมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน ซึ่งมาจากจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่คือตระกูลกัสสปะโคตร ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นพี่ชายใหญ่ มีบริวาล 500 คน ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรา มีน้องคนกลางชื่อนทีกัสสปะ มีบริวาร 300 คน ตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตอนกลาง ส่วนน้องคนเล็ก มีบริวาร 200 ตั้งอาศรมอยู่คุ้งใต้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยาสีสะประเทศ จึงได้นามว่า คยากัสสปะ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงอาศรมของท่านอุรุเวลกัสสปะ ในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปะทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสักหนึ่งคืน พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำปาฏิหาริย์และสั่งสอนแนวทางการปฎิบัติเพื่อสู่หนทางแห่งมรรคผลให้กับท่านอุรุเวลกัสสปะ จนอุรุเวลกัสสปะและบริวาล 500 คนออกบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จากนั้นก็เครื่องบริขารและเครื่องบูชาไฟต่างๆ ลอยน้ำ ครั้งนั้น ท่านนทีกัสสปะ ผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมา ก็คิดว่า สงสัยอันตรายจะมีแก่ดาบสผู้พี่ชาย จึงใช้ให้ชฎิลสองสามคน ไปสืบดู ครั้นทราบความแล้ว นทีกัสสปะและบริวาร ก็เลื่อมใสชวนกัน ลอยเครื่องดาบสบริขาร ลงในแม่น้ำนั้น พากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้น ฝ่ายคยากัสสปะ ผู้เป็นน้อง เห็นเครื่องดาบสบริขารของพี่ชาย ลอยน้ำลงมา ก็คิดดุจนทีกัสสปะ ผู้เป็นพี่นั้น แล้วพาบริวาลทั้ง 200 อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักพระอุรุเวลกัสสปะ ไต่ถามทราบความแล้วเลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องบริขาร ลงในแม่น้ำ แล้วก็เข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จากนั้นพระพุทธเจ้า ทรงพระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุ 1,000 นั้น ให้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น พิธีบูชาไฟ หรือ พิธีอารตี พิธีบูชาไฟ ตามคัมภีร์ฤคเวทย์ ได้กล่าวถึงการบูชาไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมอบความสุขและความโชคดีให้แก่ผู้ที่บูชา เครื่องพลีหรือเครื่องสังเวยที่ใช้ในการบูชาไฟ ประกอบด้วย น้ำนม เมล็ดข้าว เนยแข็ง เหล้า (กลั่นจากต้นไม้) ดอกไม้ และหญ้าคา เชื่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับพระเป็นเจ้า หญ้าคา เป็นอาสนะที่ประทับของพระศิวะบนเขาไกรลาส เมื่อเริ่มทำพิธีกรรมพรามณ์ก็จะนำอาหารเหล่านี้ใส่ลงไปในกองไฟ พร้อมสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า เครื่องสังเวยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ทำด้วยสิ่งนี้ ชาวฮินดูลัทธิศิวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด จะนำหญ้าคามาเพื่อเป็นเครื่องบูชา ขั้นตอนการบูชาไฟ การบูชาไฟ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบูชาเทพ ด้วยชาวฮินดูเชื่อว่า พิธีกรรมทั้งหลายนั้นจะไม่สมบูรณ์หากขาดการบูชาไฟ การถือตะเกียงอารตีควรถือด้วยมือขวา โดยใช้มือซ้ายประคองอีกทีแล้วเวียนไปทางขวา (ตามการหมุนแบบเข็มนาฬิกา) ระหว่างที่วนตะเกียง ควรจะร้องสวดหรือท่องมนตร์เพื่อบูชาเทพเจ้าหรืออาจจะใช้การเปิดเทปอารตีแทนก็ได้ หากเป็นการบวงสรวงในพิธี จะมีการประโคมดนตรี เช่น บัณเฑาะว์ เป่าสังข์และตีระฆังเป็นจังหวะให้ผสมผสานกันไป หลังจากเสร็จพิธี ควรตั้งจิตบริสุทธิ์อธิษฐานเพื่อแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ในโลกว่า "โอม ศานติ ศานติ ศานติ" เสร็จพิธีสมบูรณ์
Hotline 0-936468915, 0-823656241 ใบอนุญาตเลขที่ 11/05028